หน้าเว็บ
หน้าแรก
บุคลากร
ประชากร
ปฏิทินงาน
ข้อมูลทั่วไป
ข่าวสารชุมชนคนกุดครอง
วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
ประกวดฮูลาฮูป
โฉมหน้านักกีฬากุดครอง
ลีลาฮูลาฮูป.....ท่าพิชิตใจกรรมการ
รางวัล ลำดับที่ 2 ของจังหวัดกาฬสินธุ์
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ประเมิน รพ.สต. สีเขียว
ทีมประเมินจากสาธาณรสุขจังหวัด
น่ารักอ่ะ...
เป็นจังได๋ล่ะน้อความฮัก...
วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555
ซูโดอีเฟดรีน
ซูโดอีเฟดรีน (
อังกฤษ
:
pseudoephedrine
, ย่อว่า PSE) เป็นสาร
เอมีน
ชนิด
พาราซิมพาเทติก
มักใช้เพื่อลดอาการ
คัดจมูก
จัดเป็น
ยาเสพติดให้โทษ
ประเภทที่ 4 ในประเทศไทย ใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น
โครงสร้างเคมี
ซูโดอีเฟดรีน คือ ไดแอสเทอร์โอเมอร์ของ
เอฟิดรีน
. ซูโดอีเฟดรีนเป็น ไครอลโมเลกุล หมายถึง สเตอริโอไอโซเมอร์ที่มีอะตอมไครัลมากกว่าหนึ่ง แต่ไม่ใช่คู่ที่เป็นภาพในกระจกซึ่งกันและกัน ซูโดอีเฟดรีนเป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเมธแอมเฟตามีน หรือยาไอซ์ และ
ยาบ้า
ประเมินส้วม
ทีมประเมินจาก สสจ
วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555
โรคทางเดินหายใจเฉียบพลัน รุนแรง(SARS)
โรคทางเดินหายใจเฉียบพลัน รุนแรง(SARS)
(Severe Acute Respiratory Syndrome, SARS)
หลายคนคงมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร จะมีวิธีการดูแลป้องกันตนเองและส่วนรวมได้อย่างไรบ้าง ลองมาทำความเข้าใจกันตรงนี้เลยค่ะ
เมื่อเดือนมีนาคม 2546 ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกได้ออกมาเตือนประเทศต่าง ๆ ให้ระมัดระวังโรคนี้ไว้ เพราะเริ่มส่อเค้าว่าจะเป็นภัยคุกคามในระดับโลกเลยทีเดียว เนื่องจากมีการแพร่ระบาดไปในหลายประเทศอย่างรวดเร็ว
โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงนี้มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า
Severe Acute Respiratory Syndrome
หรืออาจเรียกกันอย่างย่อ ๆ ว่า โรคซาร์
(SARS)
และที่เรียกขานกันในบ้านเราว่า ไข้หวัดมรณะนั่นเอง ชื่อหลังนี้แม้จะฟังดูน่าสะพรึงกลัวมากเกินไปบ้าง แต่ก็คงมีส่วนดีตรงที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวที่จะช่วยกันป้องกันไม่ให้โรคนี้เข้ามาแพร่ระบาดจนก่อความเสียหายกับประเทศของเราได้ ซึ่งหมายความว่าเราจะสามารถทำให้ประเทศไทยปลอดภัยสำหรับชาวต่างประเทศทุกคนที่เดินทางเข้ามาจำนวนหลายพันคนในแต่ละวันด้วย
แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่อาจสรุปผลการตรวจสอบหาเชื้อสาเหตุได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ก็มีหลักฐานที่ค่อนข้างหนักแน่นแล้วว่า เชื้อสาเหตุน่าจะเป็นเชื้อไวรัสที่มีชื่อเรียกว่า โคโรนาไวรัส เจ้าเชื้อไวรัสโคโรนานี้ที่จริงก็พบว่าทำให้เกิดโรคทั้งในมนุษย์และในสัตว์มานานแล้ว แต่ดูเหมือนว่าการระบาดในคราวนี้จะมีลักษณะเปลี่ยนไปจากปกติ ซึ่งเชื่อว่าในเร็ว ๆ นี้ คงจะทราบถึงแหล่งที่มาของเชื้อนี้ได้ เนื่องจากได้มีการศึกษาระบาดวิทยาของโรคหรือการสอบสวนหาที่มาและการแพร่เชื้อนี้อย่างใกล้ชิดแล้ว
E.M of SARS virus
ธรรมชาติของเชื้อไวรัสตัวนี้ ก็เหมือนกันกับไวรัสที่ก่อโรคตัวอื่น ๆ คือจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอยู่ในร่างกายของคนหรือสัตว์ และเมื่อใดที่ต้องออกมาอยู่ภายนอกในสิ่งแวดล้อมก็จะถูกทำลายลงได้โดยง่าย ทั่ว ๆ ไปก็จะอยู่ได้ไม่เกิน
3
ชั่วโมง แต่ถ้าอยู่กลางแสงแดด ความร้อนและรังสียูวีในแสงแดดก็จะทำลายเชื้อให้หมดฤทธิ์ไปในระยะเวลาสั้น ๆ ภายในเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง นอกจากนั้นแล้ว น้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่ใช้ในบ้านหรือสำนักงานทั่ว ๆ ไป ตัวอย่างเช่น น้ำยาฟอกขาวเจือจาง
1 % (โซเดียม ไฮโปคลอไรท์ 1%)
แอลกอฮอล์ หรือ น้ำยาไลโซล ก็สามารถฆ่าเชื้อนี้ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน
เชื้อโคโรนาไวรัสแพร่ติดต่อได้โดยการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย เนื่องจากมีเชื้อแพร่ออกมากับน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย และการติดตามศึกษาอย่างใกล้ชิดก็พบด้วยว่า เชื้อนี้น่าจะแพร่ติดต่อทางการหายใจได้ด้วย นอกจากนั้นเชื้ออาจแพร่โดยทางอ้อมผ่านมากับข้าวของเครื่องใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดมือ ช้อนอาหาร หลอดดูดน้ำ และที่พึงระวังเป็นอย่างอย่างยิ่งคือ การแพร่เชื้อจากมือเข้าสู่ปากและจมูก ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของโรคเหล่านี้ จะเป็นที่มาของวิธีการป้องกันโรคนี้ด้วย
ผู้ที่ได้รับเชื้อนี้ไม่ได้แสดงอาการป่วยทุกรายไป มีผู้รับเชื้อบางส่วนเท่านั้นที่จะแสดงอาการป่วยออกมา ส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง ซึ่งระยะฟักตัวของโรค (หมายถึง ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย จนกระทั่งปรากฏอาการออกมา) จะใช้เวลาประมาณ
2
ถึง
7
วัน โดยทั่วไปมักไม่เกิน
10
วัน อาการเริ่มแรกจะคล้าย ๆ กับโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอีกหลายโรค เช่น โรคไข้หวัดที่พบได้บ่อยมาก แต่อาการไม่รุนแรง (ภาษาทางการแพทย์ จึงเรียกโรคนี้ว่า ไข้หวัดธรรมดา) อีกโรคหนึ่งที่พบได้บ่อยเหมือนกันคือโรคไข้หวัดใหญ่ นอกจากนั้นแล้วอาการของโรคนี้ในขั้นต้นก็จะคล้ายกันกับโรคติดเชื้ออื่น ๆ อีกหลายโรคด้วย
คำแนะนำสำหรับผู้ที่เดินทางกลับมาจากพื้นที่หรือประเทศที่มีโรคซาร์ระบาดอยู่ในขณะนี้
ควรจะต้องระมัดระวังสังเกตตนเองเป็นเวลาประมาณ
2
สัปดาห์ว่า มีอาการเจ็บป่วยที่อาจเข้าข่ายเป็นโรคนี้หรือไม่ อาการสำคัญที่เป็นสัญญานเตือนภัยให้ต้องรีบไปพบแพทย์ก็คือ อยู่ ๆ เกิดมีไข้สูงขึ้นมาทันทีทันใด
(ถ้าตรวจวัดไข้ดู จะพบไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส)
และอาจมีอาการต่อไปนี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง คือ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ปวดศีรษะมาก หนาวสั่น หลังจากนั้นประมาณ
3 -7
วัน ก็จะเริ่มมีอาการเจ็บคอ ไอแห้ง ๆ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ จะมีอาการทุเลาขึ้นอย่างช้า ๆ หลังจาก
7
วันไปแล้ว และหายเป็นปกติ บางรายอาจอาการป่วยรุนแรง เนื่องจากมีอาการแทรกซ้อนที่ปอด ทำให้เกิดปอดบวมอักเสบ ในระยะนี้ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการหายใจลำบาก หรือหอบด้วย ซึ่งจะพบว่าผู้ป่วยอาจมีอาการทรุดหนักลงในช่วง
10 - 14
วัน และอาจเสียชีวิตได้ ในช่วงวันที่
17 -18
ของการป่วย
การป้องกันโรคนี้ที่ดีที่สุดคือ
การหลีกเลี่ยงไม่ไปในประเทศที่เป็นเขตโรคระบาด จนกว่าจะสามารถควบคุมโรคให้สงบลงได้ และการหลีกเลี่ยงไม่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการของโรค สิ่งที่ควรปฏิบัติอีกประการหนึ่ง คือการรักษาสุขภาพและอนามัยส่วนบุคคลให้ดีอยู่เสมอ จะช่วยให้มีภูมิต้านทานที่ดีที่จะคอยทำหน้าที่ป้องกันโรคได้ทุกขณะ ดังนั้นจึงควรรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรงด้วยวิธีการต่าง ๆ ได้แก่ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วนในแต่ละวัน โดยเฉพาะ ผัก ผลไม้ และดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ การนอนหลับพักผ่อน ไม่หักโหมงานติดต่อกันนานเกินไป รวมทั้งการหลีกเลี่ยงเหล้า บุหรี่ และความเครียด ถ้าทำได้เช่นนี้ก็จะปลอดภัยไปกว่าครึ่งแล้ว ที่จะช่วยได้อีกสิ่งหนึ่งคือสุขนิสัยในเรื่องการล้างมือ เรื่องนี้มีการศึกษายืนยันว่าช่วยป้องกันการติดเชื้อได้มากมาย โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจและโรคทางเดินอาหาร ส่วนผู้ที่มีอาการป่วยแล้วก็ควรใช้หน้ากากอนามัยหรือผ้าปิดปากปิดจมูก จะช่วยไม่ให้แพร่เชื้อไปยังญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงได้ดีอีกด้วย
วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555
ตรวจเลือดประจำปี 2555
พี่เสือตั้งใจมากขอบอก
ขอเชิญทุกท่านตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้ง
ทีมงานผู้เชี่ยวชาญ
พี่น้องทีมงานตรวจเลือดประจำปี
รณรงค์ตรวจ Papsmaer
เจ้าหน้าที่ซักประวัติ
คุณยายใส่ใจสุขภาพ
..มีของชำร่วยให้ด้วยนะคร๊าบ...
กลับ
บ้านปลอดภัย
ท่าน
ผอ.จัดให้ One Stop Service
บทความที่เก่ากว่า
หน้าแรก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)